ทัวร์กรีซ : เมทีโอร่า-เดลฟี่-เกาะมิโกนอส-นอนซานโตรินี่สองคืน 10 วัน บิน TK

ทัวร์กรีซ : เมทีโอร่า-เดลฟี่-เกาะมิโกนอส-นอนซานโตรินี่สองคืน 10 วัน บิน TK

ทัวร์กรีซ
ทัวร์กรีซ
  • ทัวร์กรีซ : เที่ยวสองเกาะขึ้นชื่อมิโกนอสและซานโตรีนี่
  • ทัวร์กรีซ : นอนซานโตรีนี่สองคืน
  • ทัวร์กรีซ : ไปเกาะทางเรือกลับด้วยบินในประเทศ
  • ทัวร์กรีซ : เยือนมรดกโลกทุกไฮไลท์
  • ทัวร์กรีซ : ตื่นตากับโบสถ์บนผาหินที่เมทีโอร่า
  • ทัวร์กรีซ : ชมแหลมยูเนียนดื่มด่ำอาทิตย์อัสดง
  • ทัวร์กรีซ : เที่ยวสบายๆไม่เร่งรีบสไตล์บีเจอร์นีไล์ฟ
  • ทัวร์กรีซ : พักดีกินอร่อยเที่ยวได้จริงไม่เร่งรีบ

เดินทาง : 14-24 พฤษภาคม 2567
ราคาทัวร์ : 167,000 บาท

โปรแกรมการเดินทาง ทัวร์กรีซ

ทัวร์กรีซ
วันแรก :   สุวรรณภูมิ-อิสตันบูล(ตุรกี)-เทสซาโลนีกี (กรีซ)

ทัวร์กรีซ
วันที่สอง :   เทสซาโลนีกี-กาลัมบาก้า-เมทีโอร่า-กาลัมบาก้า

ทัวร์กรีซ
วันที่สาม :   กาลัมบาก้า-เดลฟี่-อะราโฮวา

ทัวร์กรีซ
วันที่สี่  : อะราโฮวา-แหลมซุเนียน-เอเธนส์

ทัวร์กรีซ
วันที่ห้า :   เอเธนส์-(นั่งเรือ)เกาะมิโกนอส

ทัวร์กรีซ
วันที่หก :   เกาะมิโกนอส-(นั่งเรือ)เกาะซานโตรินี่(คืนที่1)

ทัวร์กรีซ
วันที่เจ็ด :   เกาะซานโตรินี่-เมืองฟิร่า-ซานโตรินี่(คืนที่สอง) 

ทัวร์กรีซ
วันที่แปด :   ซานโตรินี่-(บิน)กรุงเอเธนส์-จตุรัสซีนดักมา-ประตูชัยฮาเดรียน

ทัวร์กรีซ
วันที่เก้า :   อโครโปลิส-วิหารพาร์เธนอน-ชอปปิ้ง-สนามบิน 

ทัวร์กรีซ
วันที่สิบ :   อิสตันบูล-กรุงเทพฯ

กำหนดการเดินทาง ทัวร์กรีซ
เดินทาง : 14-24 พฤษภาคม 2567
ราคาทัวร์ : 167,000 บาท *ราคานี้มีช่างภาพเดินทางจากประเทศไทยช่วยถ่ายรูปให้ตลอดทริป*

ทำไมต้องไป ทัวร์กรีซ

หลายๆ คนที่ได้เห็นโปสตการ์ดที่มีบ้านหลังสีขาวหลังคาฟ้าดูสวยงามสะอาดตาเป็นธีมสีเดียวกันกับมหาสมุทรที่โอบล้อมในโทนสีเข้ม ทุกคนต่างก็หลงเสน่ห์ความงามของสถานที่แห่งนี้ และตั้งใจกันว่าครั้งหนึ่งจะไปเที่ยวประเทศนี้และเกาะต่างๆ ของกรีซให้ได้ เหตุผลแค่นี้ยังไม่พอแต่เพราะประเทศกรีซมีดีกว่านันมากในระดับประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติเลยทีเดียว

ประเทศกรีซมีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ยาวนานมีเรื่องเล่าขานในรูปแบบ “ปกรณัม” อยู่มากมาย เรื่องราวเหล่านี้ต่างผูกโยงตัวละครต่างๆ และสร้างเรื่องราวอย่างหวือหวาน่าติดตามทำให้ผู้คนหลงไหลในเรื่องราวและมีความรู้สึกผูกพันกับวัฒนธรรมกรีกจากเรื่องเล่าขานของเหล่าทวยเทพ นอกจากนี้ยังมีนักปรัชญา นักกวีผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นชาวกรีกอีกด้วย  สิ่งที่ตอกย้ำทำให้เรารู้เรื่องราวเกี่ยวกับชาวกรีกนั่นก็คือเรื่องราวของอเล็กซานเดอร์มหาราช ชาวกรีกเหนือในแคว้นมาซิโดเนีย นักปกครองและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในยุคกรีกโบราณ จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าขาน กวี ประวัติศาสตร์การรบและการปกครองที่สำคัญของโลกล้วนแล้วมีกำเนินในช่วงที่อารยธรรมกรีกรุ่งเรือง ดังนั้นประเทศกรีซซึ่งเป็นศูนย์กลางอารยธรรมอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรนี้จึงมีเสน่ห์ดึงดูดให้เดินทางไปเยี่ยมเยือนเพื่อดื่มด่ำธรรมชาติและศึกษาวัฒนธรรม

ก่อนที่จะเริ่มเรื่องเกี่ยวกับประเทศกรีซ เรามาศึกษาข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับกรีกโบราณกันก่อนดีกว่า
กรีก คือ ต้นอารยธรรมตะวันตกเป็นจุดกำเนิดของชาวตะวันตกทั้งมวล ชาวกรีกนั้นเป็นผู้วางพื้นฐานปรัชญาและการวางระบบต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้าง วิธีคิดและการดำเนินชีวิต จนกระทั่งปรัชญาทางการเมือง ซึ่งปรัญชาการเมืองที่กำเนินขึ้นจากเมืองเอเธนส์ของกรีกได้กลายมาเป็นพื้นฐานของคำว่า “ประชาธิปไตย” นั่นเอง 

ช่วงที่อารยธรรมกรีกรุ่งเรืองมากที่สุดคือช่วงเวลา 800 ปีก่อนคริสตกาล เมืองเอเธนส์เป็นศูนย์กลางของอำนาจยาวนาน เกิดการสอนศิลปะวิทยาการ สอนแนวทางความคิดและปรัชญาและประชาธิปไตย และกรีกก็ได้เสื่อมลงอีกครั้งเมื่อมีชาวสปาร์ตาเข้าโจมตีในสงครามเฟโลพอนนีเซียน (431-404 ก่อนคริสตกาล) ภายหลังจากนี้กรีกก็เกิดผู้นำคนใหม่จากเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือเข้าโจมตีและยึดครองและได้ผู้ปกครองคนใหม่ที่อายุยังน้อยชื่อว่า “อเล็กซานเดอร์มหาราช” นี่เอง ช่วงเวลาที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชปกครองแผ่นดินกว้างไกลไปจนถึงอียิปต์ เปอร์เซีย จนกระทั่งอัฟกานิสถาน ในกรีกเองก็เป็นช่วงที่มีการผสมผสานปรัชญาและวัฒนธรรมในแบบใหม่ที่มีความศิวิไลซ์เป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากนั้นมาได้เพียงสองร้อยกว่าปี กรีกก็เปลี่ยนสถานะผู้ปกครองกลายมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของโรมันที่เข้ารุกรานกรีกจนกระทั่ง 146 ปีก่อนคริสตกาลกรีกและมาซิโดเนียก็ตกอยู่ใต้การปกครองของโรมันอย่างสมบูรณ์ จากนั้นมาอารยธรรมกรีกค่อยๆ        ถูกกลืนและผสานเข้ากับอารยธรรมของโรมันและเกิดพัฒนาการกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติตะวันตกในปัจจุบัน

เรื่องราวที่น่าสนใจและบุคคลสำคัญของชาวกรีก
ปูพื้นฐานเกี่ยวกับกรีกโบราณมายาวเหยียด ตอนนี้เรามาศึกษาเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานที่และบุคคลสำคัญของกรีกกันบ้าง 

เอเธนส์ (Athens) เมืองศิวิไลซ์แห่งกรีกโบราณ
เอเธนส์ หรือ ชื่อเดิมว่า อะทีนา ซึ่งเป็นชื่อของเทพที่เสกมะกอกเป็นของขวัญให้แก่เมือง เป็นเมืองหลวงของประเทศกรีซซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นเมืองที่มีความเก่าแก่กว่า 3,400 ปี โดยมีการก่อตั้งเป็นเมืองในช่วงยุคคลาสสิคของกรีซ เอเธนส์ก่อตั้งในช่วงแรกๆ มีพลเมืองเพียง 50,000 คนและต่อมาเริ่มพัฒนาการด้านการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิและเสรีภาพมากเมื่อเทียบกับเมืองต่างๆสมัยโบราณ คือ

  • สิทธิในการปกครองสงวนไว้สำหรับประชากรบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูง
  • สตรีไม่มีหน้าที่หรือสิทธิใดๆ นอกครัวเรือน และไม่ได้รับการศึกษาใดๆ
  • พลเมืองสามารถใช้สิทธิ์ของตนได้โดยตรงโดยไม่ต้องเลือกผู้แทน (แต่สิทธิ์นี้ก็จะวนๆอยู่ในข้อแรก)

ชาวเอเธนส์จะมีชนชั้นสูงเป็นขุนนางหรือผู้ดีมีตระกูลที่ชื่นชอบการแสวงหาความรู้ โดยมีการโต้แย้งกันเพื่อหาข้อสรุปในแบบที่เคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งในยุคแรกๆ ชนชั้นสูงเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลทางสังคมของเอเธนส์เป็นอย่างมาก แต่ในเวลาต่อมาการค้าเริ่มมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นทำให้บทบาทของชนชั้นสูงเริ่มลดความสำคัญลงและชนชั้นพ่อค้าเริ่มกลายมามีบทบาทมากขึ้นในสังคมกรีก โดยสินค้าที่สำคัญและทำเงินได้อย่างมากคือ น้ำมันมะกอกและการทำภาชนะบรรจุน้ำมันมะกอก การทำโคมไฟข้าวของเครื่องใช้จากเปลือกมะกอก สาเหตุเพราะน้ำมันมะกอกไม่เพียงแต่มีสรรพคุณช่วยให้ทานแล้วเกิดประโยชน์เท่านั้น แต่ยังสามารถทาผิวเพื่อบำรุง นอกจากนี้ยังมีความคิดความเชื่อเกี่ยวกับเทพที่ให้ผลมะกอกแก่มนุษย์อีกด้วย

ด้วยความรุ่งเรืองร่ำรวยในหลายๆ ด้านทำให้เอเธนส์กลายเป็นมหานครอันยิ่งใหญ่ก่อให้เกิดสิ่งก่อสร้างน่าทึ่งมากมาย ทำให้ประเทศกรีซจึงมีนักท่องเที่ยวไปเยือนอย่างไม่ขาดสาย เมื่อไปเที่ยวชมเมืองเอเธนส์นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินกับบ้านหลังเล็กๆ ที่มักก่อสร้างลดหลั่นกันตามเนินเขาเล็กๆ บ้านเมืองมีการผสมผสานทั้งรูปแบบอาคารสมัยใหม่และย่านเมืองเก่า มีร้านค้า ร้านกาแฟน่ารักอยู่มากมาย เป็นเสน่ห์ของการมา ทัวร์กรีซ และเที่ยวชมเมืองเอเธนส์เป็นอย่างมาก

อะโครโปลิสแห่งเอเธนส์ (Acropolis of Athens)
ป้อมปราการโบราณที่ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดใหญ่เหนือกรุงเอเธนส์  ซึ่งมีซากอาคารโบราณหลายแห่งที่มีความสำคัญทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุด ดังนี้
วิหารพาร์เธนอน (the Parthenon) วิหารที่สร้างขึ้นในปี 447-432 ก่อนคริสตกาลเพื่อบูชาเทพีอะธีนา ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ที่มีความโดดเด่นด้วย “หัวเสาแบบดอริก” (1 ใน 3 รูปแบบหัวเสาคลาสสิคของกรีกที่นิยมนำมาใช้สถาปัตยกรรมยุคต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน) ด้านหน้า 8 ต้น และด้านข้าง 18 ต้น ในศตวรรษที่ 6 วิหารถูกปรับเปลี่ยนเป็นโบสถ์คริสต์นามว่า “โบสถ์แห่งเธโอโตกอส” หรือ โบสถ์มารดาแห่งพระบุตร ต่อมาในศตวรรษที่ 14 ชาวเติร์กได้บูรณะวิหารแห่งนี้เป็นโบสถ์คริสต์นิกายกรีกออร์โธด๊อกซ์ก่อนที่กลายเป็นมัสยิด แต่ก็พังเสียหายอย่างหนักในศตวรรษที่ 17 โดยกองทัพออตโตมันใช้ป้อมอะโครโปลิสเป็นฐานทัพแต่ถูกฝ่ายเวเนเชี่ยนใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มใส่วิหารพาร์เธนอนจนพังพินาศ และปล้นเอารูปปั้นต่างๆ เช่น รูปปั้นของโพไซดอน รูปปั้นม้าของเทพีอะธีน่า 
วิหารแห่งอะธีน่าไนกี้ (Temple of Athena Nike) สร้างขึ้นเมื่อ 420 ปีก่อนคริสตกาลเพื่อถวายและเฉลิมฉลองแด่เทพีอะธีน่าที่องค์อุปถัมภ์ของเมืองที่ทำให้ได้รับชัยชนะ (ไนกี้ Nike ในภาษากรีกแปลว่า “ชนะ) โดยเป็นวิหารที่มี “หัวเสาแบบไอโอนิก” (1 ใน 3 รูปแบบหัวเสาคลาสสิคของกรีก) เก่าแก่ที่สุดบนป้อมอะโครโปลิส นอกจากนี้ยังมีพระราชวังและที่อยู่ของข้าราชบริพาร และวิหารบูชาเทพเจ้าองค์อื่น ๆ 

ไพธากอรัส (Pythagoras) นักปรัชญาและนักคนิตศาสตร์ที่สำคัญของโลก
ชาวเกาะซามอส (Samos) ของกรีกที่ตั้งอยู่ค่อนไปทางประเทศตุรเคียในปัจจุบัน เป็นผู้คิดทฤษฏีทางคณิตศาสตร์ที่แสดงความสัมพันธ์ในเรขาคณิตแบบยุคลิด ระหว่างด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉาก กำลังสองของด้านตรงข้ามมุมฉากเท่ากับผลรวมของกำลังสองของอีกสองด้านที่เหลือ
นอกจากทฤษฎีทางคณิตศาสตร์แล้วยังมีชื่อเสียงในด้านดนตรีอีกด้วย โดยไพธากอรัสได้ย้ายถิ่นไปพำนักที่เมืองโครโทนทางตอนใต้ของอิตาลีและเปิดสถาบันการศึกษาที่เน้นความกลมกลืนของดนตรีกับเรขาคณิต และยืนยันว่า “เลข” คือแก่นแท้ของสรรพสิ่ง ไพธากอรัสยังได้บูรณาการหลักคณิตศาสตร์กับหลักสุนทรียศาสตร์ว่าการรวมตัวของจำนวนที่พอเหมาะ ชุดโน้ตเพลง จำนวนเสียงที่พอเหมาะจะทำให้เกิดความสอดคล้องและไพเราะ กลมกลืน กลายเป็นความรู้ของเส้นเสียงในเวลาต่อมานั่นเอง

การรบทุ่งมาราธอน (Battle of Marathon) ต้นกำเนิดกีฬาวิ่งมาราธอน
สงครามระหว่างเปอร์เซียกับกรีซในช่วงปี 490 ก่อนคริสตกาล เป็นสงครามที่กษัตริย์ดาริอุสที่ 1 แห่งเปอร์เซียกรีฑาทัพเข้ามาตีกรีกเป็นครั้งที่สองโดยมุ่งเป้าโจมตีที่เมืองเอเธนส์ โดยรวบรวมทหารราบถึงสองแสนห้าหมื่นนายและทหารม้า 1,000 นาย เดินทางจากฝั่งตะวันออก(ตุรเคียในปัจจุบัน) อ้อมทะเลอีเจียนเข้าสู่กรีก และจัดทัพเรือขนาดเล็กแต่มีจำนวนมากถึง 600 ลำ เดินทางลัดเลาะล่องไปตามเกาะแก่งต่างๆ โดยมีทิศทางมุ่งตรงมายังกรีก ซึ่งทั้งทางบกและทางทะเลล้วนแล้วเป็นทหารกล้ามากฝีมือจากทั่วทุกสารทิศที่เป็นพันธมิตรของเปอร์เซีย
ทหารเปอร์เซียยกพลเข้าโจมตีที่อ่าวมาราธอนซึ่งอยู่ห่างเมืองเอเธนส์ประมาณ 25ไมล์ ซึ่งก่อนการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายจะเกิดขึ้นทางกองทัพของเมืองมาราธอนใช้วิธีซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงและยันทัพไว้ให้นานที่สุดจนถึงฤดูหนาว ในระหว่างนี้ก็ได้ส่งนักวิ่งชื่อ “ไฟดิพิดีส” วิ่งไปยังเมืองสปาตาเพื่อขอความช่วยเหลือ
การวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากชาวสปาตานี้ยังไม่ใช่จุดที่ช่วยให้เมืองมาราธอนพ้นภัย อันเนื่องมาจากชาวสปาตามีความเชื่อในเรื่องเริ่มยกทัพได้ก็ต่อเมื่อเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงจึงยังไม่สามารถยกทัพไปช่วยที่มาราธอนได้ ดังนั้น ชาวเอเธนส์จึงเป็นฝ่ายยกทัพไปสกัดกั้นเปอร์เซียที่เมืองมาราธอนเสียเอง ฝ่ายเปอร์เซียเสียเปรียบเรื่องสมรภูมิรบเพราะพื้นที่รบไม่เหมาะกับทหารม้า จึงตัดสินใจส่งทัพเรือบางส่วนอ้อมตลบหลังเข้าตีเอเธนส์ 
ทางฝ่ายกรีกเห็นว่าเปอร์เซียแบ่งกำลังออกไปบางส่วนจึงพุ่งปะทะกับเปอร์เซียในทันที และใช้กลยุทธ์ที่แข็งแกร่งของปีกซ้ายและปีกขวาสามารถทะลวงแนวกองทัพของปีกทั้งสองอ้อมเข้าโจมตีด้านหลังของเปอร์เซียจนได้ ทำให้กองทัพเปอร์เซียที่มีจำนวนมากถูกบีบให้กระจุกตัวในที่แคบและพ่ายแพ้แก่กองทัพกรีกในที่สุด 
หลังจากที่ได้รับชัยชนะแล้วทางกองทัพกรีกในเมืองมาราธอนจึงได้สั่งการให้ทหารข่าวสารวิ่งไปบอกยังเอเธนส์ว่าสมรภูมิรบที่เมืองมาราธอนกรีกเป็นฝ่ายชนะแล้วและกำลังนำทัพกลับมาเสริมการรบที่เอเธนส์อีกครั้งเพื่อต่อสู้กับกองกำลังทางเรือของเปอร์เซียที่กำลังจะไปถึง
จากเหตุการณ์วิ่งคร้ังที่สองนี้นักวิ่งส่งข่าวผู้แบกความเป็นความตายและความอยู่รอดของเมืองเอเธนส์ที่ขึ้นอยู่กับฝีเท้าของตน ได้วิ่งอย่างไม่ยอมหยุดเป็นระยะทางกว่า 25 ไมล์ ทันทีที่ไปถึงก็ตะโกนบอกได้เพียงคำสั้นๆว่า “Nike – นิเก” ที่แปลว่าชนะ เมื่อสามารถบอกข่าวสารได้สำเร็จก็ขาดใจตายที่เอเธนส์นี้เอง
**จากเหตุการณ์นี้จึงเกิดกีฬาการ วิ่งมาราธอน เกิดขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์รบและความเสียสละ ความอดทนของนักวิ่งส่งข่าวสารของกรีก

เกาะมิโคนอส (Mykonos)
เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะคิคลาดิส (Cyclades) แห่งทะเลอีเจียน มีพื้นที่ 85.5 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 10,134 คน (ปี 2554) เป็นเกาะท่องเที่ยวมีทรงเสน่ห์เป็นอย่างมากด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้

  • หาดทรายขาว : เกาะมีโคนอสมีหาดพาราไดซ์ที่มีทรายขาวสวยเป็นที่ขึ้นชื่ออย่างมาก โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งร้านอาหาร บาร์ และไนท์คลับตั้งอยู่ตลอดแนวชายหาด ในทุกๆ ปีจะมีกิจกรรมดนตรีและเหล่าดีเจดังๆจากทั่วทุกมุมโลกมาเล่นดนตรีกันที่นี่
  •  กาโต้ มัยยอย (Koto Myloi) โรงสีกังหันลมโบราณที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมทะเลจำนวน 7 หลัง เป็นกังหันลมประวัติศาสตร์ของเกาะมายาวนานหลายศตวรรษ  เป็นสัญลักษณ์ของเกาะที่ผู้มาเยือนต้องมาถ่ายรูปเป็นหลักฐานว่า “มาถึงเกาะมิโกนอสแล้ว”
  • เวนิซน้อย (Little Venice) หมู่บ้านริมทะเลที่เคยเป็นจุดแวะพักทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งบนเส้นทางระหว่างเวนิสกับเอเชีย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 โดยเกาะมิโกนอสเคยอยู่ใต้การปกครองของชาวเวนิส จึงเป็นเหตุผลให้บ้านเรือนในเมืองเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมเวเนเชี่ยน 
  • Hora Town ชุมชนชาวเกาะที่ทาสีบ้านด้วยสีขาวตัดขอบกรอบหน้าต่างด้วยสีฟ้า เป็นเมืองที่ดูสะอาดตา ในตอนเช้าจะเห็นชาวบ้านนำอาหารทะเลออกมาขายมากมายในตลาดปลา นอกจากนี้ที่นี่ยังขึ้นชื่อว่ามีอาหารทะเลสดๆ ขายตามร้านต่างๆ อีกด้วย
  • โบสถ์ออโธดอกซ์ Panagia Pasraportiani Church เป็นโบสถ์สีขาวรูปทรงแปลกตาตั้งอยู่ริมทะเลเป็นแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก
  • Armenistis Lighthouse ประภาคารอาเมนิทิส เป็นประภาคารสูง 19 เมตรที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1891 เป็นที่ตั้งประภาคารที่มีบรรยากาศสวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถมาใช้บริเวณนี้เป็นแลนด์มาร์คถ่ายรูปสวยๆ ของทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นชมบนตัวประภาคาร จากวิวบริเวณประภาคารนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นเกาะ Tinos ที่อยู่ห่างออกไปได้อีกด้วย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวิวนี้คือวิวพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งนักท่องเที่ยวควรจะเผื่อเวลาสักนิดถ่ายรูปเล่นในมุมต่างๆ และรอเวลาดื่มด่ำพระอาทิตย์ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาสู่ผิวน้ำอย่างช้าๆ
  • ชอปปิ้งที่ Matogianni แหล่งชอปปิ้งที่มีผู้คนพลุกพล่านที่สุดในเกาะมิโคนอส เพราะที่ย่านนี้จะมีทั้งสินค้าของที่ระลึกมากมาย และมีร้านอาหาร มีบาร์ยามดึก ที่ร่วมมือร่วมใจสร้างบรรยากาศให้แบบกิ๊บเก๋ ดูสวยงามเรียบร้อย นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูปมุมต่างๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน เมื่อเหนื่อยล้าก็สามารถนั่งพักจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ได้โดยง่าย

เกาะซานโตรินี่ (Santorino)
เรียกอีกอย่างว่า “เกาะทีร่า” เป็นเกาะทางตอนใต้ของทะเลอีเจียน ห่างจากกรีซแผ่นดินใหญ่ราว 200 กม. เป็นเกาะในฝันของหลายคนทั่วโลกที่ไฝ่ฝันว่าจะมาเยือนเกาะที่มีความงดงามดุจราชินีแห่งคิคลาดิสที่ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่มากมาย เช่น เกาะครีต มิโคนอส ถึงแม้ซานโตรินี่จะมีขนาดเล็กแต่ได้รับยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งเมดิเตอร์เรเนียน” ทั้งนี้นักประวัติศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าการเกิดสึนามิครั้งใหญ่ส่งผลให้อารยธรรมมิโนอันบนเกาะครีตต้องล่มสลาย ในขณะเดียวกันที่ซานโตรินี่มีทฤษฎีเชื่อว่ามีการระเบิดของภูเขาไฟฟีร่าที่อยู่กลางทะเลทำให้ซานโตรินี่มีเกาะเล็กๆ มีลักษณะเป็นปล่องภูเขาไฟอยู่เคียงข้างเกาะใหญ่(ซานโตรินี่) ให้เห็นในปัจจุบัน  บนเกาะซานโตรินี่นั้นมีที่เที่ยวสำคัญอยู่หลายแห่ง ดังนี้
หมู่บ้านไพรกอส (Pyrgos village) เป็นหมู่บ้านตั้งอยู่สูงที่สุดบนเกาะ โดยตั้งอยู่บนหน้าผาที่ให้ทัศนียภาพอันงดงามทั้งสองฝั่งของเกาะซานโตรินี่ สามารถมองเห็นหุบเขาสีเขียวท่ามกลางทะเลอันกว้างใหญ่  ภายในหมู่บ้านมีถนนแคบ ๆ คดเคี้ยว มีร้านเหล้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และบ้านหินน่ารักที่ยังคงสถาปัตยกรรมคิคลาเดสดั้งเดิม ขณะเดียวกันยังมีไร่องุ่นที่มีโบสถ์โดมสีน้ำเงินโดดเด่นกลางทุ่งเก๋ไก๋น่ารักเปี่ยมล้นด้วยมนต์เสน่ห์
หาดทรายสีดำ มีความยาว 5 กม. เป็น 1 ใน 3 ชายหาดที่ยาวที่สุดในซานโตรินี่ มีน้ำทะเลลึก สีน้ำเงินเข้มที่ริบหาดเต็มไปด้วยเตียงตากอากาศและร่มกันแดด หลากสีสัน เป็นหาดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่ให้นักท่องเที่ยงทำกิจกรรมทางน้ำได้หลากหลายประเภท สามารถเดินชมบรรยากาศที่เต็มไปด้วยร้านค้าและนักท่องเที่ยวที่คึกคัก เป็นชายหาดที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดบนเกาะซานโตรินี่ 
หาดทรายสีแดง หาดแห่งนี้แปลกตาตรงที่มีดินเป็นสีส้มออกแดงตัดกับท้องทะเลสีฟ้าดูสวยงาม 
หมู่บ้านเอีย (Oia village) หมู่บ้านเล็กๆ ตอนเหนือสุดของเกาะห่างจากเมืองฟีร่า 15 กม. ในสมัยกรีกโบราณเคยเป็นท่าเรือของเมืองฟีร่าโบราณ ซึ่งตั้งอยู่บนเขาเมซ่า วูโน่ หมู่บ้านเอียเคยเจริญสูงสุดในปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่มีความมั่งคั่งรำรวยจากกองเรือการค้าของตนเองในที่ทำมาค้าขายในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางการค้าจากอเล็กซานเดรียในอียิปต์  หมู่บ้านแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น “หมู่บ้านที่สวยที่สุดของเกาะ” ภายในหมู่บ้านเป็นตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ที่สามารถเดินชมวิวได้ตลอดแนว หมู่บ้านเต็มไปด้วยอาคารหินปูนสีขาว หลังคาโดมสีฟ้าที่โดดเด่น ที่ภาพถ่ายในนิตยสารและสื่อต่าง ๆ ด้านการท่องเที่ยวมักมีรูปของหมู่บ้านแห่งนี้  

เมืองโครินธ์ (Corinth)
ตั้งอยู่ทางภาคใต้ตอนกลางของประเทศกรีซ จุดที่เมืองโครินธ์ตั้งอยู่เป็นจุดเชื่อมภูมิภาคเพโลพอนนีสกับแผ่นดินใหญ่ทางเหนือพอดี โดยคลองด้านหนึ่งเป็นอ่าวโครินธ์และอีกด้านหนึ่งเป็นอ่าวซาโรนิกในทะเลอีเจียน โครินธ์มีการค้าเป็นอาชีพหลักจนเกิดเป็นการสร้างนิคมขึ้น และผลจากการค้าที่บริเวณท่าเรือทั้งสองฝั่งทำให้เกิดแนวความคิดการขุดคลองเพื่อรองรับเรือสินค้าที่ขยายตัวและเพิ่มความสะดวกในการส่งสินค้าจากอีกฝั่งไปยังอีกฝั่ง และเรียกเก็บภาษีจากเรือสินค้าที่มาจากที่อื่นและเข้าเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสินค้า   

     คลองโครินธ์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเพื่อมาดูคลองขุนที่มีความยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์ เนื่องจากมีการขุดแนวหน้าผาลึกลงไปถึง 80 เมตร ตัวคลองมีความยาว 6.3 กิโลเมตร กว้าง 23 เมตร และมีความลึกลงไปจากผิวน้ำอีก 8 เมตร สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ถึง 10,000 ตัน

     สิ่งที่น่าทึ่งอีกประการหนึ่งของคลองโครินธ์นี้คือ ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของคลอง จะมีสะพานข้ามที่ให้รถสามารถขับขี่สัญจรระหว่างแผ่นดินฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ สะพานแห่งนี้สามารถลดระดับลงไปอยู่ใต้พื้นผิวน้ำและปล่อยให้เรือขนาดเล็ก เช่น เรือท่องเที่ยว  เรือใบ สามารถผ่านตามเส้นทางคลองนี้ไปได้อย่างง่ายดาย นับเป็นความสะดวกสบายที่ใช้ร่วมกันได้ทางรถยนต์ข้ามฝากและเรือที่ต้องการข้ามคลอง

     นอกจากคลองโครินธ์อันน่าทึ่งแห่งนี้แล้ว เมืองโรคินธ์ยังมีชื่อเสียงเรียกนักท่องเที่ยวด้านอื่นอีกด้วยซึ่งมีมาช้านานแล้ว นั้นคือเป็นเมืองภาชนะดินเผาและเรื่องเซรามิคชั้นเลิศ ที่วาดลวดลายสวยงามลงบนภาชนะโถ ถ้วยต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ให้สีโทนเหลืองอ่อนตัดกับสีดำที่มีรูปแบบลวดลายเป็นของตนเอง

     ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เมืองกรีกโบราณที่ยังคงมีโบราณสถานตั้งอยู่ในโครินธ์ สิ่งก่อสร้างอันน่าทึ่งของคอคอดโครินธ์ และเรื่องเล่าขานอันเป็นตำนานของสาวงามเมือง ทำให้เมืองโครินธ์มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากมาย เป็นอีกเมืองหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับประเทศกรีซเป็นอย่างมากทีเดียว

เมืองเดล์ฟี่ (Delphi)
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของโหราจาร (ไพเธีย) แห่งวิหารอพอลโล ซึ่งเป็นที่ปรึกษาในการตัดสินใจสำคัญของผู้ปกครอง โดยชาวกรีกโบราณมองว่าศูนย์กลางของโลกอยู่ที่เดล์ฟี่ จึงสร้างให้มีอนุสาวรีย์หินเป็นสะดือของโลกอยู่ที่นี่ เดล์ฟี่ตั้งอยู่บนพื้นที่ไหล่เขาที่ลาดชันชื่อว่าภูเขาปาร์นาสซุส ที่สามารถมองเห็นที่ราบชายฝั่งทางทิศใต้ ปัจจุบันเป็นเหล่งโบราณคดีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปีค.ศ. 1987 ในฐานะเป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นโดยรัฐกรีกโบราณและแสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวกรีก เมืองเดลฟี่มีแหล่งท่องเที่ยสำคัญ ดังนี้

วิหารแห่งอพอลโล (Temple of Apollo) ซากเทวสถานของเทพแห่งแสงสว่าง การละครและดนตรี ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ลาดชันของภูเขาพาร์นาสซุส วิหารแห่งนี้เป็นตัวแทนและเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาชาวกรีกโบราณที่มีต่อองค์เทพอะพอลโล  
กีฬาสถานแห่งเดล์ฟี่ (Stadium of Delphi) ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของแหล่งโบราณคดีเดล์ฟี่ เป็นจุดที่สามารถมองเห็นซากวิหารแห่งอพอลโลท่ามกลางภูมิทัศน์ที่เป็นหุบเขาสูงชัน กีฬาสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล มีความยาว 178 เมตร ถือเป็นสนามกีฬาโบราณที่ดีที่สุดในกรีซ

แหลมซูเนียน (Cape Sounion)
แหลมทางตอนใต้สุดของคาบสมุทรอัตติก้า ในอ่าวซาโรนิค ซึ่งเป็นที่ตั้งของ วิหารแห่งโพไซดอน (Temple of Poseidon) อนุสรณ์สถานหลักของยุคทองแห่งเอเธนส์ โดย “เทพโพไซดอน” เป็นเทพแห่งท้องทะเล ตามความเชื่อของชาวกรีก คอยปกป้องพิทักษ์มหาสมุทรทั้งหมดในโลกนี้ วิหารสร้างขึ้นราว 444-440 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาสูง 60 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล  เป็นวิหารหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีมุขด้านหน้าพร้อมหัวเสาแบบดอริก 6 ต้น (พังทลายไปแล้ว) ล้อมด้วยเสาสูงรอบวิหาร 38 ต้น (แต่เหลือให้เห็นซากเพียง 16 ต้นในปัจจุบัน) รูปทรงสถาปัตยกรรมของวิหารคล้ายวิหารเฮเฟสตัสที่อะโครโปลิส ทำให้สันนิษฐานได้ว่าอาจจะเป็นคนออกแบบและก่อสร้างคนเดียวกัน

Scroll to Top

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า