จากหนังฮอลลีวูดที่โด่งดังมีรายได้มากกว่า 263 ล้านบาท มีเนื้่อหาที่รักษ์ธรรมชาติ วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ความรักในถิ่นเกิด และความหมายที่ตีความได้ไม่ยากเลยอีกมากมาย ทำให้หนังเรื่องนี้โด่งดังทำรายได้ถล่มทลาย แต่สิ่งที่เป็นผลพลอยได้จากหนังเรื่องนี้คือ การท่องเที่ยวที่มีฉากในหนังไปไกล้เคียงกับที่เที่ยวทางธรรมชาติของจีนที่ชื่อว่า "จางเจียเจี้ย"
จางเจียเจี้ยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เดินทางท่องเที่ยวมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังมีน้อยคนนักที่รู้จัก แต่เมื่อหนังเรื่องอวตารได้ออกฉายสู่สายตาผู้คนมากมาย มีฉากโลกต่างดาวที่แสนสวยงามเป็นฉากของภูเขาลอยฟ้าเทียมเมฆ นับเป็นฉากที่น่าอัศจรรย์ตื่นตา ซึ่งบรรยากาศในฉากนี้มีลักษณะภูเขา กิ่งไม้ไต่หน้าผาที่งดงามดั่งภาพวาดตรงกับเมืองจางเจียเจี้ยของจีน หลังจากนั้นรัฐบาลจีนก็ไม่รอช้าประกาศให้ชื่อแห่งนี้ว่าเมืองอวตาร-จางเจียเจี้ย ส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเมืองจางเจียเจี้ยของจีนแห่งนี้บูมดังระเบิดเถิดเทิง
การเดินทางไปยังเมืองจากเจียเจี้ยนั้นสามารถทำได้หลายทาง เส้นทางที่คนเที่ยวเองนิยมกันมากคือเดินทางจากเมืองกวางเจาแล้วนั่งรถไฟต่อไปจนถึงจางเจียเจี้ย การเดินทางโดยรถไฟต่อตรงขนาดนี้อาจเสียเวลาเยอะหน่อยแต่สิ่งที่ได้รับความสะดวกคือเมื่อไปถึงสถานนีรถไฟเมืองจางเจียเจี้ยแล้วท่านสามารถขึ้นกระเช้าขึ้นไปเที่ยวเทียนเหมินซานได้เลย
เดินทางโดยบินตรงยังเมืองฉางซา หรือบินไปลงกวางเจาแล้วค่อยบินต่อไปยังเมืองจางเจียเจี้ย ลักษณะการเดินทางเช่นนี้มักจะเป็นการเดินทางไปกับบริษัททัวร์ เนื่องจากมีเครื่องบินเหมาลำไปลงที่เมืองฉางซาโดยตรงซึ่งการซื้อตั๋วเครื่องบินเหมาลำนี้จะแบ่งซื้อกันไปตามโคว์ต้าในกลุ่มบริษัททัวร์ และขายร่วมกับการซื้อโปรแกรมทัวร์เบ็ดเสร็จ ซึ่งวิธีนี้ก็ง่ายและราคาถูกไม่ต้องไปปวดหัวเดินทางเอง เพราะขณะนี้ทัวร์จางเจียเจี้ยเป็นที่นิยมมาก ประเทศจีนกินเงินคนไทยไปแล้วมากมายมหาศาล ใครที่ชอบความสนุกตื่นเต้นก็สามรถเลือกซื้อแค่ตั๋วเครื่องบินแล้วนั่งรถไฟและหาทางท่องเที่ยวต่อ แต่ถ้าใครที่รู้สึกสับสนกับการต้องติดต่อประสานสารพัดค่าใช้จ่ายและกลัวโดนหลอกเพราะไม่ถนัดภาษาจีนก็สามารถเลือกซื้อทัวร์ได้สบายใจดี
เส้นทางท่องเที่ยวหลักๆเมื่อไปเที่ยวจางเจียเจี้ย
เทียนจื่อซาน เทียนจื่อซานนั้นเป็นภูเขาสูงที่ต้องใช้ลิฟท์แก้วขึ้นไป นอกจากลิฟต์แล้วแล้วยังสามารถลงจากที่นี่โดยกระเช้าได้อีกด้วย ด้านบนเมือขึ้นไปแล้วจะมีลักษณะภูมิประเทศแปลกตา มีภูเขาหินขนาดใหญ่ และมีรูปร่างเป็นแท่งเขาสูงสลับซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีทั้งถ้ำบนภูเขา และลำธารน้อยใหญ่ไหลผ่าน ณ จุดชมวิวบนเทียนจื่อซานนี้ท่านสามารถไปยังจุดชมวิวที่ได้จัดไว้จะเป็นมุมที่สามารถเห็นภาพคล้ายฉากในหนังเรื่อง "อวตาร" มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ชื่อว่าสวนสาธารณนายพลเฮ่อหลง ที่นักท่องเที่ยวจะสามารถเก็บรูปภูเขาสวยๆแปลกตาได้อีกมากมายหลายมุม รวมทั้งที่พลาดไม่ได้คือ "สะพานหนึ่งในใต้หล้า"
เทียนเหมินซาน ต้องขึ้นไปโดยการนั่งกระเช้าเป็นระยะเวลาประมาณ 40 นาที ด้านบนที่มีจุดท่องเที่ยวชื่อว่า "ประตูสวรรค์" ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม สาเหตุที่เรียกว่าประตูสวรรค์นั้นเพราะมีลักษณะเป็นช่องหินบานใหญ่อยู่บนภูเขาสูงโด่ดเด่นน่าประหลาดใจประหนึ่่งกับเป็นประตูเข้าสู่สวรรค์ก็ไม่ปาน ท่านที่ต้องการพิชิตประตูสวรรค์จะต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีก 999 ขั้น **ไม่แนะนำผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาหอบหืด**
เมืองเฟิ่งหวง
เมืองเฟิ่งหวงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะเวียนไปเที่ยวเมื่อมีโอกาสได้ไปเที่ยวจางเจียเจี้ย เพราะอยู่ไม่ห่างไกลกันมาก เมืองนี้เป็นเมืองเก่าที่ยังมีบ้านเรือนเก่าๆ เก๋ๆ มีแม่น้ำพาดผ่าน ในทัวร์นิยมนำนักท่องเที่ยวนั่งเรือล่องในแม่น้ำเพื่อชมความงามของสองฝากฝั่งแม่น้ำ
ช่วงเวลาที่ควรไปเที่ยวจางเจียเจี้ย
เส้นทางท่องเที่ยวจางเจียเจี้ยนั้นสามารถเดินทางได้หลายช่วงการเดินทาง สิ่งที่เป็นอุสปรรณปัญหามากที่สุดก็คือหมอกที่ลงจัด ทึ่จะมีอยู่ตลอดทั้งปี สิ่งที่พอจะคาดคะเนได้ก็คือหลังฝนตกแล้วหมอกจะจางหายและมีฟ้าที่เคลียร์ใสหลังจากนั้น หรือช่วงที่อากาศปลอดโปร่งจริงๆ สามารถมองเห็นได้ไกลสุดตาและถ่ายรูปออกมาได้สวยมาก
สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอันดับที่สองคืออุณหภูมิ ในเมือเราเลือกที่จะเที่ยวในช่วงที่ฟ้าเคลียร์ใสได้ยากแล้วดังนั้นมาดูช่วงอุณหภูมิดีกว่าหากใครชอบเทียวหนาวๆ แนะนำว่าเดินทางช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม รับรองหนาวได้ใจ ต้องใส่ถุงมือ หมวกไหมพรม และเสื้อกันหนาวครบสูตร ในช่วงนี้หากไปต้นๆเมษายนอาจได้เห็นหิมะ แต่สิ่งที่ตามมาด้วยก็คือหมอกหนามาก ใครที่ไม่ชอบน้ำแข็ง กลัวลื่น และกลัวหนาวไม่ควรไปช่วงนี้
เดือนเมษายน-พฤษภาคม เป็นช่วงที่อากาศอุ่นขึ้นมากแล้ว แต่ถือว่าเย็นสบายๆ ประมาณ 20-25 องศาในตอนกลางวันและจะเย็นขึ้นประมาณ 17 องศาในตอนกลางคืน ด้วยช่วงเดือนนี้เป็นวันหยุดยาวของไทยทำให้คนไทยเลือกไปเที่ยวจางเจียเจี้ยในช่วงนี้กันมาก
ช่วงเวลาต่อมาคือสปริง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม จะเป็นช่วงที่เริ่มมีฝนตก ท่านจะได้เห็นต้นไม้เขียวครึ้มและในสวนจะมีไม้ดอกให้เห็นพอชื่นใจ หากท่านไปแบบมีเวลามากๆ ไม่เร่งรีบอะไร เมื่อมีฝนปรอยๆก็ไม่ต้องเซ็งอารมณ์ไปเพราะว่าหลังฝนแล้วท่านอาจได้ภาพทิวทัศน์ที่สุดอัศจรรย์ มีหมอกลดตัวต่ำละเลียดทิวเขา เห็นหมู่แท่งภูเขาแทงตัวขึ้นไปทะลุหมอก นับเป็นความงามจับตาอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ส่วนใครที่ไม่ชอบชื้นๆแฉะๆ ไม่ควรไปฤดูกาลนี้
ช่วงเวลาที่ไม่แฉะไม่หนาว คือช่วงกันยายน-ปลายตุลาคม ช่วงนี้อากาศจะแห้งมากแล้วและไม่ค่อยมีฝนตก ภูมิอากาศกำลังเย็นสบายไม่หนาวเกินไปและไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกช่วงเดินทางนี้ แต่มีข้อติงอยู่บ้างตรงเหล่าต้นไม้ใบหญ้าสีไม่เขียวสดดูจืดและแห้งไปนิด